จัดประชุมเชิงปฏิบัติการสานสัมพันธุ์ลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 1 เชิญนายอำเภอ – กำนัน – ผู้ใหญ่บ้าน ทั้ง 2 ฝั่ง ชายแดนไทย – ลาว (เหนือ-กลาง) ร่วมหารือกระชับความสัมพันธ์ต่อยอดความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม หนุน แนวทาง “การสร้างชุมชนเข้มแข็งระหว่างประเทศ” รับมือภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่อย่างยั่งยืน
หนองคาย – เวียงจันทรน์ สสป.ลาว – การประชุมเชิงปฏิบัติการสานสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง (Connecting Nations, Linking People) ไทย- ลาว (เหนือ-กลาง) ครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนเพื่อรับความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ปีงบประมาณประจำปี 2566 จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 17 – 21 กรกฎาคม 2566 ณ จังหวัดหนองคายและนครหลวงเวียงจันทน์ สสป. ลาว ซึ่งผู้เข้าร่วมประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ปกครองระดับปฏิบัติการในพื้นที่ชายไทย-ลาวเหนือ-กลาง ได้แก่ นายอำเภอ/ปลัดอำเภอ เจ้าเมือง/รองเจ้าเมือง กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน/นายบ้าน ผู้ทรงคุณวุฒิ และ เจ้าหน้าที่โครงการรวม 90 คน โดยการจัดประชุมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 6 (Mekong-ROK Cooperation Fund: MKCF) ภายใต้การบริหารจัดการโครงการโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และ สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute – MI)
การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างนายอำเภอและเจ้าเมือง รวมถึงผู้นำท้องที่ของไทยและสปป.ลาว พร้อมทั้งยกระดับบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในระดับท้องที่ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ใกล้ชิดประชาชาชนมากที่สุด ให้เข้ามีมาส่วนร่วมและเป็นแนวหน้าในการแก้ปัญหาเรื่องความมั่นคงรูปแบบใหม่ รวมถึงการยกระดับกลไกความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการค้ามนุษย์ การลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน และ การเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผ่านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน และการดำเนินการความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วยการบรรยายให้ความรู้โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง การแบ่งกลุ่มฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโดยการร่วมกันจัด SWOT analysis เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาสและภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดนร่วมกัน การศึกษาดูงาน ณ สถานที่สำคัญ ทางประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยวของ สปป.ลาว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีการสานสัมพันธ์ความร่วมมือต่างๆในพื้นที่ในอนาคตต่อไป โดยมีกิจกรรมสำคัญดังนี้
เสริมศักยภาพความรู้ความมั่นคงรูปแบบใหม่
ณ โรงแรมพันล้าน บูทีค รีสอร์ท จ.หนองคาย ทางโครงการได้จัดการจัดอบรมเสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของไทย ทั้งนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีความรู้ความเข้าใจรู้เท่าทันภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่และแนวทางการบริหารจัดการชายแดนเพื่อรับมือภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจและการสร้างเสริมกำลังใจ (Empowered) ในการปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างเข้มแข็ง เพื่อเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลง (Change Agent/ Change Heroes) ในการรับมือภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่เพื่อที่จะได้เป็นต้นแบบให้กับประชาชนในการป้องกันชุมชนในพื้นที่ชายแดน โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความรู้ ประกอบไปด้วยหัวข้อต่างๆ ได้แก่
- “พลวัตของภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” โดย พลเอกเจิดวุธ คราประยูร ที่ปรึกษาด้านการทหารและความมั่นคงแห่งรัฐ สมาชิกวุฒิสภา
- “ความมั่นคงรูปแบบใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและบทบาทของฝ่ายปกครอง” โดย นายราชันย์ ซุ้นหัว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย
- “ปักหมุดสร้างชุมชนเข้มแข็งระหว่างประเทศ และการพัฒนาการค้าชายแดน เกราะกำบังภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่อย่างยั่งยืน” โดยดร. รัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี
- “กรอบระเบียบกฎหมายของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” โดย นายอดิศร สิทธิการ นักการทูต ชำนาญการ (ที่ปรึกษา) กองเขตแดน และ คุณณัฏฐา วสันตสิงห์ นักการทูตชำนาญการ (ที่ปรึกษา) จากกรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศ
เยือน “เวียงจันทน์” สานสัมพันธ์ผู้นำท้องที่ไทย-ลาวใกล้ชิด
ต่อมาทางคณะฯได้มีการข้ามฝั่งไปยัง นครหลวง กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ณ โรงแรมลาว พลาซ่า เพื่อร่วมเปิดพิธีการประชุมเชิงปฏิบัติสานสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง (ไทย- ลาวเหนือ-กลาง)อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก นางวจิราพร อมาตยกุล ผู้อำนวยการกองวิชาการและแผนงาน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวต้อนรับเข้าสู่โครงการฯ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น เพราะถือเป็นการประชุมระดับระหว่างประเทศครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้นำระดับปฏิบัติการในพื้นที่คู่ขนานภูมิภาคชายแดนไทย- ลาว (เหนือ-กลาง) ได้มีโอกาสได้พบกันอย่างเป็นทางการ เพราะปกติการจัดประชุมในระดับนี้จะเป็นระดับผู้ว่าราชการจังหวัด/เจ้าแขวง ขึ้นไปเท่านั้น แต่ในงานนี้ทางโครงการฯได้จัดขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะ นายอำเภอ-กำนัน- ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อยกบทบาทให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ให้มีความใกล้ชิดกันเพื่อที่จะสร้างร่วมมือกันจัดการปัญหาภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ในอนาคตต่อไป โดยประกอบไปด้วย
ฝั่งไทย 8 จังหวัด 17 อำเภอ จาก จังหวัดเชียงราย (อ.เชียงของ, อ.เวียงแก่น, อ.เชียงแสนและ อ.เทิง) จังหวัดน่าน (อ.เฉลิมพระเกียรติ ,อ.สองแคว) จังหวัดเลย (อ.ท่าลี่, อ.ด่านซ้าย, อ.นาแห้ว, อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม) จังหวัดอุตรดิตถ์ (อ.บ้านโคก) จังหวัดพะเยา (อ.ภูซาง) และ จังหวัดหนองคาย (อ.เมืองหนองคาย อ.โพนพิสัย, อ.ศรีเชียงใหม่ , และ อ.สังคม)
ขณะที่ฝั่ง สปป.ลาวเหนือ – กลาง มาจาก 4 แขวง 13 เมือง ได้แก่ แขวงบ่อแก้ว (เมืองห้วยทราย, เมืองต้นผึ้ง) แขวงไซยะบุรี (เมืองเงิน, เมืองเชียงฮ่อน, เมืองแก่นเท้า, เมืองปากลาย, เมืองบ่อแตน, เมืองคอบ) แขวงเวียงจันทน์ (เมืองสานะคาม) และ แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ (เมืองหาดทรายฟอง,เมืองปากงีม,เมืองสีโคดตะบอง และ เมืองสังทอง)
ต่อจากนั้นได้มีการจัดกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศผ่านการเสวนาหัวข้อ “ความสัมพันธ์ไทย-ลาวและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน” โดยมีวิทยากรผู้บรรยายจากทั้งไทยและสปป.ลาวดังต่อไปนี้ คือ
- นายวัชระ ปวุฒิยาพงศ์ ที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำ นครหลวงเวียงจันทน์
- ท่านไกสอน ขุนละวงสา ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศของสปป.ลาว
- ดร.ธนเชษฐ วิสัยจร หัวหน้าสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
- ดร. ลำเงิน สุริยวงศ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว
โดยผู้ร่วมเสวนา เห็นพร้องตรงกันว่าประเทศไทยและลาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมที่มีความใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะภาษาซึ่งถือว่าเป็นเพียงสองประเทศในโลกที่สามารถติดต่อกันได้โดยที่ไม่ต้องใช้ “ล่าม” ถือเป็นจุดเด่นของทั้งสองประเทศที่ทำให้ประชาชนใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
ครั้งแรกกับ SWOT Analysis 2 ฝั่งคู่ขนาน
ผู้เข้าสัมมนาเชิงปฏิบัติการจากทั้งไทยและสปป.ลาว ได้ร่วมกันจัดทำ SWOT analysis เพื่อวิเคราะห์ จุดแข่ง จุดอ่อน โอกาสและภัยคุกคามต่อความสัมพันธ์ไทย-ลาว ในระดับพื้นที่ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสพูดคุยปัญหาต่างๆด้วยกันอย่างเป็นทางการในทุกๆมิติ เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการทำงานกัน โดยมีการแบ่งกลุ่มพื้นที่ตามอำเภอที่อยู่ตรงข้ามกันตามแนวชายแดนเป็น 4 กลุ่มคู่ขนานไทย-สปป.ลาว ดังต่อไปนี้
- กลุ่ม 1 อำเภอเชียงของ อำเภอเชียงแสนและอำเภอเวียงแก่น – เมืองห้วยซาย เมืองต้นเผิ้ง
- กลุ่ม 2 อำเภอเฉลิมพระเกียรติ – เมืองคอบ เมืองเซียงฮ่อน และเมืองเงิน
- กลุ่ม 3 อำเภอท่าลี่ อำเภอโคก อำเภอนาแห้ว – เมืองแก่นท้าว เมืองปากลายและเมืองบ่อแตน
- กลุ่ม 4 อำเภอเชียงคาน อำเภอปากชม อำเภอศรีเชียงใหม่ – เมืองสานะคาม เมืองหาดซายฟอง เมืองสีโคตะบอง และเมืองสังทอง
โดยผลการหารือโดยสรุปพบว่า
- จุดแข็ง วัฒนธรรมภาษาและวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน
- จุดอ่อน การมีช่องทางธรรมชาติจำนวนมาก ทำให้มีปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการขนยาเสพติดข้าม แรงงานผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ การปักปันเขตแดนไม่ชัดเจน
- โอกาส การมีด่านสากลในพื้นที่ต่างๆที่จะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้มากขึ้น และเห็นว่ากิจกรรมของรัฐเรื่องการส่งเสริมกีฬา ประเพณีบุญร่วมกัน ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ประชาชนในพื้นที่ดีขึ้น
- ความท้าทาย ได้แก่ การเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ภัยธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนร่วมกัน
กระชับความสัมพันธ์ผู้นำท้องที่ มิตรภาพที่แท้จริงอยู่นอกห้องประชุม
ทางโครงการฯได้มีการจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ด้วยการพาผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไปทัศนศึกษาสถานที่สำคัญของสปป. ลาวในนครหลวงเวียงจันทน์ ได้แก่ วัดสีสะเกด หอพระแก้ว วัดพระธาตุหลวง และปะตูไซ รวมถึงการเดินไปที่เมืองวังเวียง แขวงเวียงจันทน์ เพื่อชมสถานที่ธรรมชาติต่างๆ ด้วย เช่น ผาตั้งและผาหอม และบลูลากูน โดยกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผู้นำทั้งสองฝั่งมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะมิตรภาพและความสัมพันธ์ดีๆระหว่างกัน มักจะเกิดขึ้นจากความไม่เป็นทางการและเกิดขึ้นนอกห้องประชุม การปล่อยให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างอิสระทำให้พวกเขากล้าแลกเปลี่ยนกันเรื่องๆต่างและสนิทสนมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นผลดีในการทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไป ที่ผู้นำทั้งสองพื้นที่ฝั่งคู่ขนานสามารถประสานงานกันได้เร็วขึ้น แชร์ข้อมูลปัญหาร่วมกัน และผนึกกำลังกันป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติต่อไป
เดินหน้า “สร้างชุมชนเข้มแข็งระหว่างประเทศ”
ทางโครงการฯได้ประชุมสรุปโครงการฯและนำเสนอแนวทางการทำงานร่วมมือกันในอนาคตของผู้เข้าร่วมโครงการทั้ง 2 ฝั่ง ได้เห็นชอบกับแนวคิด “การสร้างชุมชนเข้มแข็งระหว่างประเทศ” ว่าจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญในการสร้างความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกันในพื้นที่ ซึ่งมีหลักการ 3 ข้อ ได้แก่
- ประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง ต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบของพื้นที่คู่ขนาน : ประชาชนในพื้นที่คู่ขนานต้องมีความรู้ความเข้าใจข้อห้ามต่างๆเพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎหมายในพื้นที่ตรงข้ามโดยไม่จำเป็น หรือทำผิดกฎหมายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- ต้องใช้คุณธรรม มนุษยธรรม นำการตัดสินใจ : ในพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวและ มีหลากหลายปัญหา บางครั้งการใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชน เรื่อง การรักษาชีวิต ผู้นำในพื้นที่ต้องใช้คุณธรรม/มนุษยธรรมนำการตัดสินใจ เพื่อให้ประชาชนสามารถมีชีวิตได้อย่างปกติสุขที่สุด ยกเว้นเรื่องที่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่ต้องมีการบังใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง
- การบังคับใช้กฎหมายต้องมีมาตรฐานเดียวกันไม่มีการเลือกปฏิบัติ : หรือเรียกว่า “ดูแลคนของประเทศตัวอย่างไร ต้องดูแลคนของประเทศคู่ขนานแบบเดียวกัน” ใครทำผิดต้องได้รับการลงโทษอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กันและกัน ว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งหมดนี้เชื่อว่าถ้าชุมชนทั้งสองฝั่งคู่ขนานมีความเข้มแข็งและได้รับการพัฒนาไปด้วยกัน จะทำให้องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับพื้นที่ได้ ประชาชนจะเข้มแข็งมีความเข้าอกเข้าใจและร่วมกันสอดส่องเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน จะทำให้ปัญหาอาชญากรรมค่อยๆลดลงมาได้ เพราะความเข้มแข็งของพื้นที่จะเป็นเกราะกำบังความมั่นคงให้พื้นที่นั่นเอง